Pear & Sharp – งานแต่งของเรา

คำเตือน: blog นี้ยาวมาก พยายามจะเล่ารายละเอียดให้ได้มากที่สุด เผื่อเป็นประโยชน์ให้คนกำลังวางแผนจัดงาน ผมจะเน้นในมุมมองของผู้ชาย ที่จะต้องขอผู้หญิงแต่งงานเป็นหลักนะครับ ผมจะเล่าเป็นเรื่องราว ไม่ได้เล่าเป็นโครงสร้างแบบเข้าใจง่าย

อยากจะแต่งงาน เริ่มยังไง

หลายคนไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไง ต้องขอผู้หญิงแต่งงานก่อนหรือเปล่า ผู้ใหญ่จะโอเคมั้ย ต้องทำอะไรก่อน ในตอนแรกก็งงเหมือนกันครับ แต่ก็ได้คุยกับหลายๆ คนที่แต่งงานไปก่อนหน้า ถามเค้าว่าเค้าทำอะไรบ้าง

แต่ว่าเริ่มต้นแรกสุด คือผมถามตัวเองก่อนว่า คนนี้คือคนที่เราอยากจะอยู่ไปตลอดใช่ไหม ในตอนนั้นเราคบกันมาสัก 2 ปีนิดๆ ผมโอเคมากๆ เลย เพราะแพรรับฟังผม แพรเปิดใจให้คน geek นิดๆ อย่างผมได้มีมุมของตัวเอง ผมเคยสอนแพรเขียนโปรแกรม แพรก็พยายามเรียนแบบน้ำตาซึมๆ ไป สุดท้ายผมก็เลิกสอนเค้าเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปบังคับในสิ่งที่เค้าไม่ถนัด แต่นั่นแหละ แพรพยายามจะเข้าใจเรา เรียนรู้เรา ไม่พยายามจะยัดเยียดตัวเค้าเข้ามามากเกินไป เราก็มีความตึงๆ ใส่กันบ้างบางครั้ง แต่เราก็คุยกันด้วยดี แก้ปัญหาได้ทุกครั้ง ไม่เคยมีทิ้งปมเอาไว้รอระเบิดภายหลัง แพรเป็น supporter ที่ดีมากๆ สุดท้ายผมก็คิดว่า แต่งกับคนนี้แหละ เราน่าจะไปกันรอดจนแก่เฒ่าด้วยกัน

จากนั้นผมก็ไปเม้ากับแก๊ง engineering manager ที่ทำงานด้วยกัน ถามเค้าง่ายๆ ว่า

เราขอผู้หญิงแต่งงานเลยได้ไหม หรือต้องทำอะไรก่อน

มี Arm แชร์ให้ฟังว่า ของเค้าคือต้องให้ผู้ใหญ่ไปเจอกันก่อน ไปพูดคุยกัน เพราะถ้าเราขอกันเองเรียบร้อย แล้วค่อยไปบอกผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่เค้าไม่ OK กันและกัน มันจะเป็นเรื่องเอา

และก็มีคนอื่นๆ พูดทำนองเดียวกัน บางคนก็บอกว่าขอกันเองเลยก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าจะไม่แป๊ก ทั้งคู่เราและผู้ใหญ่

แล้วมันจะแปลกมั้ย ที่ผู้ใหญ่ไปคุยกัน คุยกันไว้ว่าลูกๆ เราจะแต่งงาน อย่างนี้ผู้หญิงเค้าก็รู้หมดน่ะสิ เดี๋ยวจะไม่ surprise นะ

ผมก็ถามทุกคนไปและก็เช็คเพิ่มเติมกับคนอื่นๆ ที่ผมรู้จัก ซึ่งทุกคนบอกว่า “จริงๆ ผู้หญิงเค้าก็ต้องรู้อยู่แล้วรึป่าวว่าเดี๋ยวเราจะแต่งงานกัน เพียงแต่เค้าไม่รู้ว่าวันไหน” ดังนั้นเวลาที่ผู้ใหญ่ไปคุย ก็อย่าเพิ่งกำหนดวัน ปล่อยให้เค้าลุ้นไปก่อน

สุดท้ายผมก็ตัดสินใจว่าเดี๋ยวจะให้ผู้ใหญ่ไปเจอกันก่อน

แต่ก่อนที่ผู้ใหญ่จะไปเจอกัน มันก็มีเรื่องให้ต้องคิด ต้องเตรียมตัวเยอะพอสมควรเลยนะ

ก่อนผู้ใหญ่เจอกันครั้งแรก

เรื่องราวก่อนที่ผู้ใหญ่จะเจอกัน มันจะไม่ได้เป็นเส้นเรื่องแบบเส้นตรงๆ เพราะในความเป็นจริงมันโคตรจะพันกันยุ่งเหยิงมากๆ

เริ่มจากว่า เราพยายาม sense ให้ได้ก่อนว่าแพรเค้าอยากจะแต่งกับเราใช่ไหม ผมก็คอยถามไปเรื่อยๆ วันละนิด วันละหน่อย เช่น

  1. แพรดูชอบเด็กเนอะ อยากได้ลูกชายหรือลูกสาว
  2. แพรอยากจะไปอยู่ที่ไหน?
  3. ถ้าวันนึงชีวิตพี่เป็นขาลง เกิดลำบากขึ้นมา แพรโอเคหรือเปล่า
  4. คบกันมาแล้วเป็นไง มีตรงไหนที่ชอบและไม่ชอบบ้าง

คำถามพวกนี้มันก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจทั้งคู่แหละ แพรเองก็น่าจะรู้สึกว่าเราจริงจังกับเค้านะ ไม่ใช่คบเล่นๆ

พอเรามั่นใจประมาณนึงแล้วว่าแพรไม่น่าจะปฏิเสธ ก็เริ่มคุยเรื่องผู้ใหญ่กับแพรบ้าง หลักๆ คือ ผู้ใหญ่บ้านแพรชอบเราไหม, ผู้ใหญ่บ้านเราชอบแพรหรือเปล่า และก็เรื่องที่ยากที่สุดคือเรื่องสินสอดและเรือนหอ

สำหรับผู้ใหญ่ทางบ้านแพร เนื่องจากผมไปที่บ้านแพรอยู่บ่อยๆ คอยช่วยงานผู้ใหญ่ ก็ดูจะไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไร แต่สำหรับแพรเองที่แทบจะไม่เคยได้เจอแม่ของฝั่งผู้ชายเลยก็ค่อนข้างจะยาก เพราะว่าแม่ของผมอยู่ต่างประเทศตลอด ผมเองก็แทบไม่ได้เจอเลย และยิ่งช่วง covid ก็คือไม่ได้กลับไทยเลยเกือบ 2 ปีเต็มๆ ซึ่งผมกับแพรก็คบกันมาตลอดช่วง covid นี่แหละ แพรและแม่ก็เลยแทบจะไม่เคยได้คุยอะไรกันเลยสักนิด

ผมเองก็ไม่รู้นะว่าแม่ผมโอคเกับแพรหรือเปล่า แต่ผมโอเค ดังนั้นผมมีหน้าที่ทำให้แม่โอเคด้วย 555

มีช่วงเดือน May 2022 ได้บินไปเจอแม่และไปเที่ยว ก็เลยได้คุยกับแม่จริงจังเรื่องแต่งงาน คือบทสนทนากับแม่มันจะข้ามขั้นไปเลย เพราะ relationship ในบ้านแต่ละบ้านก็คงไม่เหมือนกัน ผมสามารถคุยตรงๆ กับแม่ได้ แม่ก็รับฟังและแม่ก็ให้ความเห็นในเรื่องต่างๆ เราก็ฟังและต่อรองกันไป หลักๆ ก็คือคุยกับแม่ว่าจะแต่งงานนะ แม่กังวลอะไรไหม เราพอรู้อะไรบ้างเราก็บอกความคิดของเราให้แม่ฟังไป เช่น แต่งงานแล้วไปอยู่บ้านไหน แพรจะย้ายเข้ามาหรือว่าชาร์ปจะต้องย้ายไปอยู่กับแพร (เราตกลงกันว่าจะอยู่ทั้ง 2 บ้านสลับกันไป ไม่ซื้อบ้านหรือปลูกเรือนหอใหม่ แต่จะอยู่บ้านผมเยอะกว่านิดหน่อยเพราะเป็นส่วนตัวกว่า) เรื่องจิปาถะอื่นๆ รวมถึงเรื่องสินสอดด้วย

เรื่องสินสอดผมจะไม่ขอพูดตัวเลขนะครับ แต่จะใช้ตัวแปรแทน เช่น A, B แบบนี้

ประเด็นเรื่องสินสอดก็ค่อนข้างซับซ้อน ก่อนหน้าที่ผมจะคุยกับแม่ตอนที่บินไปต่างประเทศ ผมก็ลองถามแพรไปก่อนว่าเคยถามพ่อแม่แพรหรือเปล่าว่าจะเรียกสินสอดเท่าไร แต่กว่าที่ผมจะได้ตัวเลขมาก็ถามหลายรอบเหมือนกัน เพราะทางพ่อแม่แพรบอกว่า “แล้วแต่เราสะดวก” ซึ่งมันไม่ช่วยอะไรเลย เราก็ไม่รู้ว่าจะให้เท่าไร โชคดีที่พี่ชายแพรแต่งงานก่อนหน้านี้ ก็เลยเอาเลขนั้นมาเป็นเลขอ้างอิงก่อน รวมถึงแพรก็ลองถามพ่อแม่แบบติดตลกไปด้วย พ่อแม่ก็บอกเลขมาใกล้เคียงกับของพี่ชายแพร

แต่ว่าเลขที่ได้มาอันนี้ คือทางผู้ใหญ่เค้ายังไม่เคยไปตกลงกันเลยนะครับ ผมและแพรแค่พยายามไปสืบว่าผู้ใหญ่แต่ละท่านมองตัวเลขไว้ที่เท่าไร ผมไม่ปล่อยให้ผู้ใหญ่ไปเจอกันแล้วไปคุยเรื่องตัวเลขกันหน้างานแน่ๆ ห่วงว่าจะเหมือน pantip ที่มาเล่ากันว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกันจนลูกๆ เครียดมาก ไม่ได้แต่งงาน

พอผมได้ตัวเลขสินสอดเป็นเงิน A บาท ทองคำ B บาท ผมก็คุยให้แม่ผมฟังในวันที่บินไปหา จริงๆ เงินและทองจำนวนนั้น ผมก็มีเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เงินผมอาจจะยังไม่พอสำหรับจัดงานแต่งซึ่งต้องใช้เวลาเก็บเงินเพิ่มอีก แม่ก็ค่อนข้างเป็นห่วงเพราะครอบครัวเราฐานะลำบากมาโดยตลอด ไม่อยากให้ต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้ เลยจะขอลดจำนวนลงหน่อย (ทุกคนอย่าลืมว่าในช่วงที่คุยกันเรื่องสินสอด ฝ่ายแพรไม่รู้เรื่องนี้ เพราะฝ่ายแพรได้แต่ให้ข้อมูลผมมาอย่างเดียว)

พอกลับจากไปเที่ยว ผมก็คิดหนักมากถึงจำนวนที่แม่ขอต่อรองลงมา แล้วก็ต้องค่อยๆ ไปไล่คุยกับแพร พอแพรเข้าใจ ก็เลยบอกแพรว่า จะขอไปคุยกับพ่อแม่แพรเรื่องแต่งงานและเรื่องสินสอดหน่อย แล้วแพรก็นัดพ่อแม่ให้

ผมไม่รู้ว่าบ้านอื่นจะทำแบบนี้ได้ไหม แต่สำหรับผมกับผู้ใหญ่ทางบ้านแพร ผมรู้สึกว่าเค้ารับฟัง ไม่ได้มองเราว่าเป็นเด็ก ไม่ได้มองว่าเรื่องนี้ต้องให้ผู้ใหญ่มาคุยกันเท่านั้น คือผมสามารถไปคุยกับท่านได้ตรงๆ และประกอบกับแม่ผมก็ไม่อยู่ไทย การที่ผมไปคุยกับผู้ใหญ่ทางบ้านแพรได้เองมันทำให้ผมเตรียมเรื่องต่างๆ ได้สะดวกขึ้นมาก

พอวันที่ไปคุยจริงๆ กับพ่อแม่แพร เราก็เริ่มเปิดไปก่อนว่า ผมจริงจังกับแพร อยากจะแต่งงานกับแพร พ่อแม่ติดอะไรไหม จากนั้นก็มาคุยเรื่องจิปาถะ เช่น อยู่ที่ไหน วางแผนชีวิตยังไง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดก็คือผมและแพรก็ได้คุยกันมาก่อนหมดแล้ว ท่านก็ถามเรื่องงานแต่งว่ามีรายละเอียดยังไงบ้าง ผมก็แจ้งไปว่ารายละเอียดยังไม่มี เดี๋ยวจะมาคุยแยกอีกรอบ สุดท้ายก็จบเรื่องสินสอด ผมก็เล่าไปว่า แพรเคยบอกมาว่าพ่อและแม่จะเรียกสินสอดเท่านี้ใช่ไหม แต่ผมอาจจะไม่สามารถให้ได้เท่าที่พ่อและแม่ขอมา อาจจะขอลดลงหน่อย พ่อแม่แพรก็เข้าใจ ก็จบลงด้วยดี

แต่จบตรงนี้ก็ยังไม่ถือว่าตกลงสินสอดกันนะครับ อันนี้แค่ลองสอบถามเพื่อดูปฏิกริยาก่อนว่าจะมีปัญหาไหม เพราะตัวเลขจริงๆ ต้องให้ผู้ใหญ่มาแจ้งกันอีกทีนึง

ผู้ใหญ่มาเจอกันวันแรก

แม่บินกลับมาไทยอยู่ช่วงนึงไม่นานมาก ก็เลยจองคิวแม่เอาไว้ว่าจะให้ไปคุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายแพรเรื่องแต่งงาน ก็ตกลงวันเวลากับทั้ง 2 ฝ่ายไว้เรียบร้อย แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ฝ่ายผู้ชายก็ต้องทำการบ้านไว้ก่อน

ผมนั่งคุยกับแม่ เราจดหัวข้อต่างๆ ที่แม่จะต้องไปคุยให้เรียบร้อย เราเตรียมบทกันว่าจะคุยกันยังไง เช่น วันนั้นเราจะไปที่บ้านแพร ทางบ้านแพรจะเตรียมอาหารไว้ต้อนรับเรา เราก็จะคุยกันเรื่องแต่งงาน ฯลฯ

ในหัวข้อที่คุย ผมเตรียมกับแม่ไว้ประมาณนี้

พอดีวันที่ไปคุย ผมไม่สบายพอดี เป็นไข้สูง (ไข้ 39.4) ก็เลยรีบคุยรีบกลับ แล้ววันถัดมาผมก็ไป admit โรงพยาบาลยาวๆ แต่วันนั้นก็ถือว่าผ่านมาได้อย่างราบรื่น พ่อแม่แพรบอกว่าวันนั้นก็เลยไม่ได้เลี้ยงอาหารแม่ผมเลยเพราะผมไม่สบาย

หาฤกษ์งานแต่ง

การหาฤกษ์เป็นเรื่องใหญ่มากเหมือนกัน ผมเป็นคนที่ไม่ถือฤกษ์ ไม่ดูฮวงจุ้ยใดๆ ดังนั้นผมไม่เคยสนใจอยู่แล้ว แต่ว่าผู้ใหญ่ก็อยากจะให้ดูมาหน่อยเป็นมงคล แพรเองก็อยากให้ดู

ในตอนแรกสุดคุยกันว่าผมจะไปดูฤกษ์กับพระอาจารย์ที่จันทบุรี เพราะเป็นที่ๆ แม่ผมนับถือ แต่ความยากมันคือ ปกติแล้วเวลาดูฤกษ์ คู่บ่าวสาวก็จะต้องไปพร้อมกัน พอพระอาจารย์ท่านบอกวันมา ก็จะกลายเป็นแพรรู้วันทันที ก็จะอด surprise อีกส่วนคือการไปจันทบุรีมันก็ต้องใช้เวลา ลางาน ขับรถไกล และต้องติดต่อพระอาจารย์ นัดวันเวลา ค่อนข้างจะยุ่งยาก ผมเลยคุยกับแม่ว่าคงจะไม่ได้ไปหาพระอาจารย์

ถัดมาผมพยายามดูฤกษ์ตามที่ตัวเองสะดวกก่อน หลักเกณฑ์ที่ผมดูคือ

  1. มีเวลามากพอในการเตรียมงานแต่งทั้งหมด ผมคิดว่าอยากจะได้เวลาเผื่ออย่างน้อย 6 เดือน
  2. ไม่เอาหน้าร้อน เพราะเคยคุยกับแพรว่าเผื่ออยากจะจัดงานแบบ outdoor
  3. มีเวลาให้ผมได้เก็บเงินเพิ่มอีกหน่อย สำรองเอาไว้
  4. ขอวันหยุด วันเสาร์ อาทิตย์ หรือดีหน่อยถ้าตรงกับหยุดยาว

จากนั้นก็ไปพยายามหาฤกษ์มงคลทาง internet ผมชอบเว็บนึงมากๆ อยากแนะนำ

79hora 79hora.com – ฤกษ์แต่งงาน

เราก็ไปดูวันที่มันเป็นสีชมพูๆ หรือมีคะแนนสูงๆ ไว้ก่อน ว่าจะเป็นช่วงประมาณไหน ในเว็บนี้ผมได้วันที่ชอบอยู่ประมาณเดือนสิงหาคม หรือ กันยายน ซึ่งห่างจากวันที่ผู้ใหญ่ไปคุยกันประมาณ 11-12 เดือน ผมมองว่ามันนานเกินไป

อีกเว็บนึงที่ไปดูก็คือ อาจารย์ณภัทร ศรีจักรนารท (Astro Neemo) อันนี้เราต้องเสียเงินดู โดยเราส่งวันเดือนปี เวลาเกิดของคู่บ่าวสาวไปให้ แล้วเค้าก็จะส่งวันเวลากลับมาให้เรา สุดท้ายก็ได้วันที่ 7 พ.ค. กลับมา พร้อมรายละเอียดยาว 3 หน้ากระดาษ A4 มีตั้งแต่รายละเอียดการทำพิธีการต่างๆ เวลาสวมแหวน เวลารดน้ำสังฆ์ เวลาส่งตัว ซึ่งกว่าจะถึงวันที่ 7 พ.ค. ก็จะได้ระยะเวลาประมาณเกือบ 8 เดือน ซึ่งก็ใกล้เคียงกับที่เราอยากได้พอดี

พอได้วันแล้ว เราก็เก็บไว้เป็นความลับ ผมบอกให้แม่รู้ไว้แล้ว แต่ผมไม่บอกแพรและผู้ใหญ่ของแพร

Surprise ขอแต่งงาน

จากวันที่ผู้ใหญ่ไปคุยกัน แพรก็พยายามถามตลอดว่าจะแต่งเมื่อไร ไปหาฤกษ์มาหรือยัง ผมก็บอกว่ายัง ทำตัวเป็นไม่รู้ ไม่ได้ดู ระหว่างนี้ก็ดูรายละเอียดการจัดงานไปพลางๆ เช่น จะจัดงานประมาณไหน จะจัด style ยังไง แบบห้อง ballroom หรือแบบริมทะเล จัดในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด แพรอยากได้ rooftop ผมอยากได้ outdoor เราอยากได้ long table มีให้เลือกหลากหลายมากจนไม่รู้จะเลือกอะไร พยายาม survey สถานที่ต่างๆ ถามราคา แต่ก็ติดปัญหาว่าเราบอกวันที่จะจัดไม่ได้ ทางสถานที่ก็ได้แต่แนะนำรายละเอียดคร่าวๆ ถ้าเราไม่มีวันไปแจ้งเค้า ทางสถานที่ก็เช็คไม่ได้ว่าวันนั้นว่างไหม เพราะบางสถานที่ถูกจองเต็มล่วงหน้า 8-12 เดือน โดยเฉพาะวันที่ฤกษ์ดีมากๆ แต่วันที่เราได้มาไม่ได้เป็นวันมหาฤกษ์แบบนั้นก็โชคดีไป

ช่วงนี้เราก็แอบไปเตรียมแหวนสำหรับขอแต่งงาน หาทางวัด size แหวนแพร ไปสั่งทำแหวน เรื่องแหวนก็เป็นเรื่องที่ปวดหัวเหมือนกัน

ผู้หญิงจะได้แหวนจากผู้ชายทั้งหมดกี่วง? วงที่เราเอาไปขอแต่งงานจะเป็นวงเดียวกับในงานแต่งหรือเปล่า? ผมหาข้อมูลมาเยอะมาก สรุปให้ง่ายๆ ตามนี้

  1. แหวนที่ขอแต่งงาน ให้แล้วให้เลย ถ้าขอแต่งงานไปแต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน งานแต่งล่ม ผู้ชายห้ามไปทวงของคืนเด็ดขาด ยกเว้นตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะขอคืน
  2. แหวนที่ขอแต่งงาน ไม่จำเป็นต้องมูลค่าสูง ด้วยเหตุผลตามข้อ 1
  3. แหวนขอแต่งงาน อยากจะเลือก style ไหนก็เลือกไปตามความชอบ จะเอาแบบ infinity ring หรือแบบเพชรชู ก็แล้วแต่ตามงบประมาณที่มี
  4. แหวนที่ใช้ในพิธีสวมแหวน ควรจะเป็นแบบเพชรชู และควรจะดูอลังการหน่อย และผู้หญิงควรจะไปเลือกด้วยตัวเอง

ดังนั้นนผู้หญิงจะได้แหวนที่ถูกขอแต่งงาน 1 วง ถ้าจะเอาแหวนนั้นไปใช้ในพิธีด้วยก็ได้ หรือจะซื้อใหม่เพิ่มอีก 1 วงสำหรับใช้ในพิธีก็ได้ และผู้ชายก็จะมีแหวนของตัวเองอีก 1 วง

สำหรับในเคสของผมคือมีทั้งหมด 3 วง โดยแหวนขอแต่งงาน ผมเลือกแบบ infinity ring มีเพชรเล็กๆ ล้อมรอบทั้งวง ก็จะใส่ง่ายในชีวิตประจำวัน ใส่ติดมือได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อแหวนเกลี้ยง และแพรเองก็ชอบใส่เพชรกับ white gold อยู่แล้ว

พอได้แหวนสำหรับขอแต่งงาน ก็เหลือแค่ไป surprise ผมก็หาสถานการณ์ที่เหมาะสมอยู่นานมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะขอตอนไหน โชคดีมีวันที่ไปเที่ยวน่านพอดี ก็เลยเล็งว่าจะไปขอตอนนั้น บรรยากาศน่าจะดี วิวน่าจะสวยและก็สงบหน่อย

Surprise

เอาจริงๆ เวลาจะขอแต่งงานมันตื่นเต้นมากๆ นะ ใจเต้นรัวๆ บางทีเราก็เขินผู้คนเหมือนกัน แต่อยากจะบอกผู้ชายทุกคนที่จะขอแต่งงานว่า อย่าไปเขิน ทุกคนที่เห็นเหตการณ์เค้าส่งกำลังใจ เค้ายินดีให้กับเรา เราไม่ได้ทำเรื่องน่าอายใดๆ เพราะฉะนั้นอย่ากลัวที่จะขอแต่งงานต่อหน้าผู้คน ผมคิดว่ามันน่ารักมากๆ

จังหวะที่จะขอแต่งงาน สิ่งที่ต้องทำคือ ตั้งสติให้ดี อย่าลืมใจความสำคัญที่จะพูดกับเจ้าสาวของเรา The show must go on. พลาดอะไรไปก็ช่างมัน ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราพูดครบหรือไม่ครบ

หลังจากที่ขอแต่งงานเสร็จ เราก็บอกวันแต่งให้แพรและพ่อแม่แพรรู้ พอกลับจากไปเที่ยว ก็เริ่มลุยเตรียมงานแต่งเต็มกำลัง

งานแต่งด่านแรก: งบประมาณและสถานที่

เรื่องสถานที่ จำนวนแขก เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะกระทบกับงบประมาณ สิ่งแรกที่เราควรทำคือ ตั้งวงเงินสูงสุดที่เราจะจ่ายสำหรับจัดงานแต่งเสียก่อน สำหรับผมกับแพรสิ่งที่เราทำคือ เราดูว่าเราพอรับค่าใช้จ่ายได้ที่เท่าไร ตอนแรกเรามองว่าอยากจะจัดให้อยู่ในราคาประมาณ 500,000 – 600,00 บาท จากนั้นเราก็ไปเริ่ม survey ราคา

อยากบอกทุกคนว่า ค่าใช้จ่ายจริง มักจะเป็น 2 เท่าของงบที่เราตั้งไว้ตอนแรก ดังนั้นเตรียมเงินเผื่อๆ กันไว้ด้วยครับ

Venue

เราเริ่มติดต่อสถานที่ นัดวันเข้าไปดูสถานที่จริง เก็บข้อมูลราคา ค่าอาหารต่อหัวของแขก รวมถึง package ของแถมต่างๆ เอาไว้ เราหาสถานที่มากกว่า 20 ที่ ติดต่อไปจริงๆ ประมาณ 10 กว่าที่ ได้ข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน

หลักๆ ค่าใช้จ่ายมันแบ่งสัดส่วนกันประมาณนี้ 1. ค่าอาหารของแขก ~50-60% ของงบประมาณ 2. ค่าสถานที่ ค่าตกแต่ง ~30% ของงบประมาณ 3. จิปาถะ เช่น ค่าชุดแต่งงาน ค่ารองเท้า ช่างแต่งหน้า รันคิว ขันหมาก พิธีกร ฯลฯ ~10-20% ของงบประมาณ

ดังนั้นถ้าต้องการคุมงบประมาณให้อยู่หมัด สิ่งที่ต้องใส่ใจมากๆ คือ อาหารและสถานที่

ปกติแล้วสถานที่แต่งละแห่งจะ bundle อาหารเข้าไปด้วย บางแห่งสถานที่สวยมาก ค่าสถานที่ไม่แพงแต่ค่าอาหารต่อหัวแพงลิบลับ ราคาอาหารต่อหัวที่ survey ในกรุงเทพและปริมลฑลมีตั้งแต่ หัวละ 800 บาท ไปจนถึง 2,500 บาท แต่โดยทั่วไปของในกรุงเทพ ค่าอาหารต่อหัวจะอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาท

จำนวนแขกในงานของผมรวมทั้งผู้ใหญ่และเพื่อนๆ ผมกับแพร อยู่ที่ ~350 คน คิดเป็นเงินค่าอาหารทั้งหมด 490,000 บาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งยังไม่รวมค่าอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นงบประมาณ 500,000 – 600,000 ที่วางไว้นั้นไม่สามารถทำได้จริง

สุดท้ายเราก็เลือกที่จะปรับงบประมาณเพิ่ม เพราะเราต้องจัดงานในกทม เพื่อให้แขกเดินทางมาสะดวก เราตั้งงบประมาณใหม่ไว้ที่ประมาณ 800,000 – 900,000 บาท

ถัดมา สิ่งที่ต้องดูในการเลือกสถานที่ก็คือจำนวนแขก บางสถานที่รับได้แค่ 180 คน บางแห่งรับได้แค่ 250 คน มีแค่ไม่กี่สถานที่ ที่สามารถจุได้ 350 คนในครั้งเดียว และสถานที่ที่จุคนได้มากๆ ก็จะไม่สวยถูกใจแพร หรือไม่ก็คืออยู่ไกลมาก เช่น นนทบุรี เดินทางลำบาก ไม่ติดรถไฟฟ้า เป็นต้น

โดยเฉลี่ยแล้ว ถ้าจะให้เลือกสถานที่ได้ง่ายหน่อย มีตัวเลือกมากๆ จำนวนแขกควรจะอยู่ที่ประมาณ 150-180 คน แต่ถ้าเกินกว่านี้ ตัวเลือกที่เหลือมักจะเป็นห้อง ballroom ของโรงแรม

บางสถานที่ก็มี decoration ให้เลยในตัว บางสถานที่ไม่มี decoration ให้ก็ต้องไปจ้าง organizer เข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่สถานที่จะมี organizer ที่เป็น partner อยู่แล้ว เราสามารถสอบถามกับทางสถานที่ได้เลย แต่การตกแต่งโดย organizer ก็จะมีค่าตกแต่งเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับความอลังการที่เราอยากได้ เริ่มต้นที่ผมรู้ก็จะประมาณ 50,000 บาท ซึ่งก็มักจะได้ backdrop ทางเข้างานและตกแต่งสถานที่ประปรายเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ถ้า option จัดเต็มหน่อยก็จะประมาณ 100,000 – 150,000 บาท

บางสถานที่ก็จะมีขันหมากและของแถมต่างๆ เพิ่มให้ด้วย ผมแนะนำว่าเรื่องขันหมากและของแถมพวกนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจมาก เพราะเดี๋ยวเราจะต้องจ้างทีมงานรันคิวเข้ามา แล้วทีมงานมักจะมีสิ่งเหล่านี้พ่วงเป็น package มาให้เลย ดังนั้นเลือกสถานที่โดยเน้นปัจจัยด้าน อาหาร จำนวนแขก การตกแต่ง การเดินทาง เป็นหลักก็เพียงพอ

สุดท้ายเราก็ไปจบที่โรงแรม Pullman Bangkok Hotel G ที่เลือกที่นี่เพราะว่าได้ห้อง ballroom ชั้นบนสุดของโรงแรม และได้ภาพ pre-wedding เป็นชั้นดาดฟ้าของโรงแรมตามที่แพรอยากได้ ส่วนเรื่องราคาก็อยู่ในเกณฑ์รับได้

ปัญหาเดียวของโรงแรมนี้คือห้อง ballroom รับคนได้แค่ ~230 คน ดังนั้นเราต้องแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม แล้วจัดงาน 2 รอบ ซึ่งก็เพิ่มค่าใช้จ่ายไปอีกพอสมควร แต่อีกเหตุผลคือ ผมอยากจัดงานเด็กแยกจากงานผู้ใหญ่ เพื่อจะได้คุม mood & tone ของงานเด็กได้เต็มที่ แถมมี after party แบบสุดเหวี่ยงด้วย

rooftop

งานแต่งด่านที่ 2: ทีมงานต่างๆ

นอกจากสถานที่ อาหารแล้ว ก็มีจะมีเรื่องทีมงานที่เราจะต้องจัดการเยอะมากๆ

  1. ร้านชุดบ่าวสาว
  2. ทีมงาน pre-wedding
  3. ทีมงานช่างแต่งหน้า ทำผมบ่าวสาว
  4. ทีมงาน organizer ที่จัดการเรื่องการตกแต่งสถานที่
  5. ทีมงานของฝ่ายสถานที่ เราต้องคอยประสานเจ้าของสถานที่ตลอด รวมถึงเรื่องอาหารด้วย
  6. ทีมงาน รันคิว ที่คอยดูแลเรื่องคิวพิธีการต่างๆ
  7. ทีมงานช่างภาพ คอยเก็บภาพบรรยากาศ
  8. ทีมงานนักดนตรี เครื่องเสียง สำหรับปาร์ตี้
  9. เพื่อนบ่าวสาว
  10. พ่อแม่ของบ่าวสาว และญาติคนสำคัญต่างๆ
  11. แขก VIP เช่น ผู้อาวุโสฝ่ายเจ้าบ่าว เจ้าสาว และประธานในพิธี
  12. พิธีกรในงานฉลอง และนายพิธีในงานพิธีการไทย
  13. พระสงฆ์
  14. เจ้าหน้าที่จดทะเบียนในงานแต่ง
  15. supplier ต่างๆ ที่เราอาจจะติดต่อ เช่น สั่งเครื่องดื่ม alcohol, ทำการ์ด, ของชำร่วย, ของรับไหว้, ฯลฯ

ถ้าไม่อยากปวดหัวในสิ่งเหล่านี้ แนะนำให้จ่ายเงินจ้าง organize หรือ wedding planner ดูแลให้ทั้งหมดแทนนะครับ (ใช้เงินแก้ปัญหา) แต่ผมไม่จ้างครับ จะทำเองทั้งหมด 555

ทุกคนก็ค่อยๆ ไล่ติดต่อไปตามลำดับนะครับ แล้วผมจะค่อยๆ อธิบายในแต่ละเรื่องไป

เรื่องที่ 1: ชุดบ่าวสาว

ปกติแล้วรูปแบบของชุดมีตั้งแต่ ชุดเช่า (เป็นชุดที่ร้านเคยตัดไว้แล้ว เราแค่เช่าใส่ แก้ size ได้แค่นิดหน่อย) ชุดเช่าตัด (ตัดให้ใหม่ แต่จบงานแล้วไม่ได้ชุดกลับไป ร้านจะเอาไปให้คนอื่นเช่าต่อ) ชุดตัดซื้อ (ตัดใหม่ ได้ชุดกลับไปด้วย) ผมแนะนำให้คุมงบประมาณดีๆ เพราะชุดเจ้าสาวนั้นมีตั้งแต่ราคาถูกเฉียดๆ หมื่น ไปจนถึงหลายแสน แต่สำหรับชุดเจ้าบ่าวที่ปกติจะเป็นสูทก็จะไม่แพงมากอยู่แล้ว

ปกติแล้วร้านจะขายเป็น package ชุดเจ้าสาว 1 ชุด ได้ชุดเจ้าบ่าวมาด้วยคู่กัน ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ~20,000 บาท ต่อ 1 set (แบบที่ร้านได้กำไรแล้วด้วย) ดังนั้นถ้าเราได้ราคาแพงกว่านี้ ก็ควรจะดูว่ามันคุ้มค่าจริงไหม

เรื่องเทคนิคหมกเม็ดของร้านชุดเจ้าสาวคงไม่พูดถึงนะครับ ขอให้ทุกคนไปตามหาเอาใน internet

สิ่งที่แนะนำให้ทุกคนทำคือ พยายามไปลองชุดบ่อยๆ หา style ชุดที่ตัวเองชอบ ถ้าเป็นการเช่าชุด ปกติแล้วชุดจะถูกวนไปใช้งานอยู่เรื่อยๆ มีคิวต่อยาวๆ ทำให้เรามีโอกาสได้ลองชุดที่เราอยากลองน้อยลง เพราะร้านเค้าจะต้อง lock เอาไว้ให้คนที่จะใช้งานจริง ถ้าเจอชุดที่สวยถูกใจแล้ว ให้ lock ชุดไว้เลย ไม่ต้องเสียดายว่าจะมีชุด collection ออกใหม่มา

เรื่องที่ 2: ช่างแต่งหน้า ทำผม

แนะนำให้รีบหา ดูผลงาน ติดต่อเอาไว้แต่เนิ่นๆ เพราะช่างแต่งหน้าเด็ดๆ มักจะคิวเต็มเร็วมาก โดยเฉพาะวันที่ฤกษ์ดี ผมจองล่วงหน้าประมาณ 4-5 เดือน โดยเฉลี่ยค่าแต่งหน้าเจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะอยู่ที่ประมาณ 12,000 – 15,000 บาท เป็นราคาเริ่มต้น ซึ่งจะแต่งแค่รอบเดียว เช่น เช้า หรือ เย็น แต่ถ้าเรามี 2 งานแบบ เช้า-เที่ยง ก็จะคิดเป็น 1.5 รอบ ก็จะเพิ่มเงินเล็กน้อย เช่น จาก 15,000 บาท เป็น 20,000 บาท

เรื่องที่ 3: organizer ตกแต่งสถานที่

ควรจะคุยกับ organizer เรื่องการตกแต่งสถานที่แบบละเอียดประมาณ 2-3 เดือน ก่อนถึงวันจริง ถ้า organizer เป็น partner กับทางสถานที่อยู่แล้วก็จะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะทางสถานที่จะห่วงเรื่องคุณภาพและทีมงาน organizer ว่าอาจจะทำให้สถานที่เค้าเสียหาย ทำงานไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเราอาจจะโดนค่าปรับจากเจ้าของสถานที่ได้ ต้องคอยเช็คกับทางสถานที่อยู่เรื่อยๆ ว่าจะมีปัญหาอะไรไหมในรูปแบบการตกแต่งที่เราอยากได้

เราต้องคุยเรื่อง theme สีของงาน, mood & tone เพื่อที่ organizer จะได้ตกแต่งได้ถูกต้อง รวมถึงเอา theme งานไปทำการ์ด และสิ่งต่างๆ เพื่อให้สวยงามไปในทางเดียวกัน

เรื่องที่ 4: พิธีการ รันคิว พิธีกร

บ่าวสาวควรติดต่อทีมงานรันคิว พิธีกรเอาไว้เนิ่นๆ ขอ template ต่างๆ เอาไว้ เช่น เราจะจัดงานแบบไหน มีลำดับพิธีการยังไง ปกติทีมรันคิวจะมีลำดับงานแบบมาตรฐานเอาไว้อยู่แล้ว เราสามารถใช้ตรงนี้เป็นต้นแบบได้เลย

ถัดมาคือบ่าวสาวต้องคุยกันเองให้มาก ว่าจะให้ลำดับพิธีในงานเป็นยังไง มีเกมเล่นในงานไหม เป็นเกมอะไร จะมี surprise อะไรกันหรือเปล่า ทั้งหมดเพื่อที่จะได้ดูเรื่องเวลาว่าแน่นเกินไปไหม เป็นไปได้หรือเปล่า

ปกติแล้วกว่าจะสรุปลงตัวและนิ่งก็จะอยู่ราวๆ 2-4 สัปดาห์ก่อนวันจริง

เรื่องที่ 5: เพื่อนบ่าวสาว

เพื่อนบ่าวสาวของเราดีมากๆ เพื่อนเจ้าสาว แพรขอให้เพื่อนสนิทมาทำหน้าที่ตรงนี้ ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าว ผมขอให้เพื่อนที่ทำงานใน office มาช่วยทำหน้าที่ โดยสาเหตุหลักๆ ของผมคือ ผมทำงานกับเพื่อนใน office มานาน และเรารู้ฝีมือกันดีว่าทุกคนทำงานได้ดี เราคุยงานกันเร็ว จัดการงานกันได้ราบรื่น

ปกติเพื่อนบ่าวสาวจะมีหน้าที่คือ

  1. ช่วยในพิธีแห่ขันหมาก กั้นประตูเงินประตูทอง
  2. ช่วยรับแขกที่โต๊ะต้อนรับ
  3. ช่วยโปรยดอกไม้ตอนเปิดตัวบ่าวสาว
  4. ช่วยในพิธีต่างๆ นิดหน่อย หรือแล้วแต่บ่าวสาวจะขอให้ช่วย

เพื่อนบ่าวสาวของเรา เรากะใช้งานเต็มที่มากๆ 555 ตั้งแต่ช่วยตัดสินใจเรื่องต่างๆ ช่วยบริหารแขกในงาน อำนวยความสะดวกให้แขก ประสานกับทีมงานต่างๆ แทนเรา เช็คความเรียบร้อยของสถานที่แทนเรา ดูแลของ ดูแลทรัพย์สิน และอีกเยอะมากๆ

briefs

เราพาเพื่อนบ่าวสาวมาเจอหน้าพร้อมกันก่อนวันงาน ทานข้าวกัน ทำความรู้จักกัน และผมก็เตรียม file brief งานเพื่อนบ่าวสาวอย่างละเอียด ว่าแต่ละคนรับผิดชอบหน้าที่อะไร ใครต้องประจำตรงไหน หากมีปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ปัญหาอย่างไร พร้อม contact ของ key person ต่างๆ ทั้งหมดเพื่อให้งานราบรื่น ไม่ต้องวิ่งวุ่นขวักไขว่หาตัวกันไม่เจอ แล้วเพื่อนบ่าวสาวเราก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ต้องปรบมือให้ทุกคนครับ

ตัวไฟล์ brief งาน กดดูที่นี่

เรื่องที่ 6: wedding presentation & website

อันนี้คือสุดมากๆ เราสำรวจราคาค่าจ้างแล้วนะครับ ปกติทำ video presentation ก็จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 50,000 บาท แล้วแต่ว่าจะจ้าง studio professional ระดับไหน

แต่ว่าผมตัดสินใจทำเองทุกอย่าง เพราะเรารู้สึกว่า การไปจ้างมักจะมีข้อจำกัด เช่น เราจะขอสั่งแก้งานได้กี่ครั้ง จะได้ storyline และ cutting ตามที่อยากได้ไหม จำนวนเวลาที่ออกกองก็มีจำกัด ฯลฯ ทำเองสบายใจกว่า

ผมก็ลงทุนซื้ออุปกรณ์ไว้แล้ว เช่น GoPro แต่พอลองใช้จริงๆ ปรากฎมันไม่ค่อย work ผมมีกล้อง mirrorless อยู่ตัวนึง และก็มี lens อยู่นิดหน่อย เลยไปซื้อ Ronin DJI RS3 mini มาเพิ่ม แล้วก็ไปลากน้องสาวมาช่วยถ่ายให้ คือทุกคนก็ใหม่หมด ใช้งานไม่เป็น การแสดง การเขียนบทก็ไม่เคยเรียน ก็นั่นแหละ นั่งเรียนด้วยตัวเองตั้งแต่ 0 เรื่องตัดต่อก็ไปเรียนวิธีการใช้ DaVinci Resolve 18 ใหม่ทั้งหมด

เราก็ไปถ่ายทำที่หัวหิน หาสถานที่ที่เหมาะสมอยู่สักพัก เขียนบทประมาณ 1 เดือน ถ่ายทำ 3 วัน ตัดต่ออีก 2-3 เดือน แก้ไขเล็กน้อย ทั้งหมดก็เรียบร้อย ตัว file final กับ shotlist ที่เขียนก็อาจจะไม่ได้ตรงกันทั้งหมดเพราะความสามารถคนถ่ายและนักแสดงมีจำกัด เรื่องไฟ แสดง อุปกรณ์ หลายๆ อย่างก็ต้องปรับกันไปตามหน้างาน

website ลงทะเบียนผมก็ทำเอง ออกแบบเองทั้งหมด บ้าพลังขนาดไหน 555

เรื่องที่ 7: วงดนตรี after party

การเอาวงดนตรีเข้ามาก็มีรายละเอียดปลีกย่อย สำหรับผมผู้ที่ไม่รู้เรื่องวงดนตรีใดๆ ทั้งสิ้นก็จะค่อนข้างยากหน่อย

ปกติแล้วสิ่งที่จะต้องดูคือ นักร้องนักดนตรี, เครื่องดนตรี, เครื่องเสียง, ระบบแสงสี ทั้งหมดนี้เราจะจ้างแยกกันเป็นส่วนๆ ก็ได้ บางทีมงานก็จะมี bundle กันมา

ตอนแรกมีวงที่ผมชอบมากๆ วงนึง ก็คือวงโนบาร์หน้าช่อ ทางวงมีนักดนตรี สามารถให้ทางวงจัดการเรื่องเครื่องเสียงได้ ผมไม่ได้ถามเรื่องระบบแสงสี

อีกวงก็คือพอดีไปงานแต่งเพื่อนที่ office แล้ววงนี้ก็เล่นสนุกดี นั่นก็คือวง Catzilla เราเลยหา contact ทักไปคุยกับทางวง แล้วทางวงเค้ามีบริการแบบ full option คือตั้งแต่ระบบแสงสีไปจนถึงนักดนตรีครบหมดในทีเดียว ราคาที่ได้มาก็ถือว่ารับได้ เราเลยเลือกวงนี้

catzilla

จบงานออกมาก็คือไม่ผิดหวังเลย จัดเต็มทุกอย่าง พี่บุ๋นก็ให้คำแนะนำผมดีมากๆ ในรายละเอียดต่างๆ

ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เหลือก็จิปาถะแล้วครับ เช่น เจ้าหน้าที่จดทะเบียนในงาน ต้องไปติดต่อ ต้องนิมนต์พระสงฆ์ไหม ไปรับไปส่งท่านยังไง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องเตรียม อันไหนสถานที่เตรียมให้ อันไหนทีมงานเตรียมให้ อันไหนที่บ่าวสาวต้องเตรียมเอง

งานแต่งด่านที่ 3: เรียนเชิญแขก

เนื่องจากเรามีจำนวนที่นั่งจำกัด เราก็จะเชิญแขกมากเกินไม่ได้ เราแบ่งงานผู้ใหญ่ไว้ที่ 200 คน และงานเด็ก 150 คน

ฝ่ายผู้ใหญ่ เราให้พ่อแม่จัดการ เพราะเป็นแขกของท่าน ให้ท่าน list รายชื่อแขกที่จะเชิญ จัดคนลงโต๊ะให้ได้ (เป็นโต๊ะจีน) จัดว่าใครจะนั่งกับใคร จากนั้นก็เอารายชื่อไปพิมพ์ซอง แขกบางท่านก็โทรไปเชิญและส่งการ์ด online

ของฝั่งเด็ก เราก็ list รายชื่อแขกออกมา พิมพ์ชื่อบนซอง ส่งการ์ดเชิญไปให้

การ์ดแต่งงานเราต้องสั่งทำ 2 ชุด มีรายละเอียดไม่เหมือนกัน ราคาการ์ดถูกสุดก็ประมาณ 12 บาทต่อใบ ถ้าปั้มฟลอยแบบเราก็จะบวกราคาเพิ่ม บางอันดีๆ หรูๆ หน่อยอาจจะถึง 50 บาทต่อใบก็ได้ ของผมจบงานแล้วการ์ดเหลือเยอะพอสมควรเพราะพิมพ์มาเท่ากับจำนวนแขก แต่ไม่ได้แจกแขกทุกคน บางคนก็ส่ง online บางคนก็ให้ใบเดียวแต่เชิญทั้งครอบครัว

card

เราเริ่มแจกการ์ดเชิญประมาณ 1-2 เดือนก่อนวันงาน ถ้าแจกล่วงหน้านานกว่านั้นก็อาจจะลืม ถ้าแจกกระชั้นชิดไปแขกก็อาจจะไม่สะดวก

ปัญหาคือการ confirm แขก เป็นเรื่องที่ยากมากๆ บางท่านก็แจ้งว่าเดี๋ยวจะ confirm อีกที บางท่านก็สามารถบอกได้เลยว่ามาได้หรือมาไม่ได้ รวมถึงยิ่งวันใกล้ๆ งาน ก็จะมีแขกบางท่านโทรมายกเลิกเพิ่มเติม

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำวิธีไหนดีที่สุด แต่วิธีที่ผมใช้คือ

  1. list รายชื่อแขกออกมาให้เกินกว่าจำนวนที่นั่งประมาณ 20-30% (จริงๆ เราอยากเชิญทุกคนในนี้ แต่เนื่องด้วยสถานที่มันทำไม่ได้จริงๆ)
  2. เชิญไปให้เกินกว่าจำนวนที่นั่ง 10%
  3. ถ้ามีแขกยืนยันว่าไปไม่ได้เลยทันที ก็ไล่เชิญเพิ่มไปเรื่อยๆ พยายาม keep จำนวนให้เกิน 10% ไว้เสมอ
  4. 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันแต่ง เราจะไม่เชิญใครเพิ่มแล้ว

โดยปกติสถานที่จะสามารถเพิ่มโต๊ะได้ประมาณ 10% ดังนั้น best case คือคนมาเกิน 10% ก็จะได้นั่งตรงนี้ที่สำรองไว้ แต่ถ้าเป็น normal case คือหน้างานคนจะมาน้อยกว่าที่เชิญ 10% อยู่แล้ว แขกที่มาจริงก็จะไม่ดูโล่งจนเกินไป

สำหรับงานเด็กที่เป็น international buffet จะไม่ค่อยมีปัญหาหากเชิญเกิน 10% แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโต๊ะจีน จะมีปัญหาในการจัดโต๊ะมากๆ เพราะเราไม่สามารถจับคนที่ไม่รู้จักกัน ให้มานั่งด้วยกันได้ ดังนั้นในงานผู้ใหญ่ เราจะไม่เชิญคนเกินเด็ดขาด

งานแต่งด่านที่ 4: รับมือกับปัญหา

จัดงานแต่งมีปัญหาให้ลุ้นตลอดครับ ยิ่งใกล้วันแต่งเท่าไร ก็จะมีปัญหาจุกจิกโผล่มาเต็มไปหมด ดังนั้น พยายามเคลียตารางช่วงใกล้ๆ วันแต่งให้โล่งๆ ไว้ อย่าพยายามยัดสิ่งที่ต้องทำมาใกล้วันแต่งจนเกินไป

ผมเองก็มีปัญหาที่เจออยู่บ้างเช่นกัน

พิธีการเช้า-เที่ยงแน่นและรีบจนเกินไป

สืบเนื่องมาจากเรื่องฤกษ์ที่ดูมา พิธีสงฆ์ 6.30 ขันหมากเริ่ม 8.39 เวลาสวมแหวนตามฤกษ์คือ 9.39 แล้วรับไหว้ที่เวลา 11.09 แต่จำนวนแขกรับไหว้คือประมาณ 30 คู่ ซึ่งน่าจะจบที่ 12.10 แล้วบ่าวสาวต้องไปเปลี่ยนชุด เปลี่ยนผมอีก 1 ชั่วโมง ทำให้พิธีการในงานฉลองเที่ยงต้องไปเริ่ม 13.00 และต้องจบภายใน 14.00 เพราะใช้ห้องได้ถึงแค่เวลานี้ ทางผู้ใหญ่ก็มีบอกว่าอยากจะให้มีเวลามาถ่ายรูป ต้อนรับแขกก่อนเข้าพิธีฉลองด้วย เพราะถ้าพิธีจบเวลา 14.00 เราต้องคืนสถานที่เลย ทุกคนก็จะต้องรีบออกจากห้อง รีบกลับทันที

แพรและผมต้องคุยกัน และก็ต้องไปคุยกับพ่อแม่ รวมถึงแจ้งกับแขกทุกท่านที่เรียนเชิญไว้แล้วด้วยว่าจะมีการเปลี่ยนเวลาให้เร็วขึ้น เราตกลงกันว่า พิธีสงฆ์ 6.30 ตามเดิมไม่เปลี่ยน แต่ขยับทุกอย่างลงมาประมาณ 1 ชั่วโมง ขันหมากเริ่มที่ 8.00 ปล่อยทุกอย่าง flow ไปได้เลยไม่ยึดตามฤกษ์ที่ดูมา อย่างที่บอกไปคือผมไม่เคยถือเรื่องฤกษ์อยู่แล้ว ดังนั้นผมเองไม่มีปัญหา

ถัดมาคือต้องไปไล่คุยกับทีมงานรันคิว สถานที่ และ organizer เรื่องเวลาใหม่ทั้งหมด เพื่อที่ทุกคนจะได้ปรับตารางให้ตรงกัน จะได้ไม่ผิดพลาด

ยังโชคดีที่เรื่องนี้โผล่มาประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนวันงาน ก็เลยไม่วุ่นวายมากนัก แล้ววันจริง พอเรารันไปตามตารางเวลาใหม่นี้ เราก็รู้สึกว่างานมันราบรื่นมากๆ ทุกคน happy เราก็ happy

ทีมงานมีการเปลี่ยนแปลงคน

เริ่มตั้งแต่ Sales ของโรงแรมมีการเปลี่ยนใหม่ เราก็ห่วงว่า sales คนใหม่จะตกหล่นรายละเอียดอะไรหรือเปล่า รวมถึงเราตกลงกับ sales คนเก่าไว้ว่าจะขอให้เค้าช่วยงานบางอย่างด้วย พอเค้าไม่อยู่ เราก็ต้องหาทีมงานมาทำตรงจุดนั้นแทน

Sales ร้านชุดเจ้าสาวลาออก ทำให้คนดูแลเรื่องชุดเปลี่ยใหม่ แล้วร้านชุดก็ดูจะตกๆ หล่นๆ อยู่แล้ว เลยยิ่งเป็นห่วง แต่คนที่มาดูแลช่วงต่อก็โอเค เรา recheck รายละเอียดต่างๆ ดูแล้วครบถ้วน ไม่มีอะไรตกหล่น ก็สบายใจ

ทีมรันคิว ยังไม่ได้ lock คนที่จะมาดูแลพิธีการให้ เรื่องนี้ไม่ได้มีปัญหามาก เราแค่ห่วงว่าทางทีมรันคิวจะส่งรายละเอียดงานกันครบถ้วนไหม จะ brief งานกันถูกไหม แต่พอหน้างานจริงก็ราบรื่นมากๆ และทีมงานก็ professional มากๆ ด้วย

เรื่องคนที่มีหน้าที่ตามจุดต่างๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แต่ก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผ่านมาได้หมด

วันที่ 4 พ.ค. กับ 7 พ.ค. มี surprise ให้ลุ้นตลอด

วันที่ 7 พ.ค. เกือบจะเป็นวันเลือกตั้งทั้งประเทศ ก็ห่วงว่าแขกจะมางานน้อยลง จะ cancel เพราะติดไปเลือกตั้ง ฯลฯ

วันที่ 4 พ.ค. เป็นวันหยุด แต่วันที่ 5 ไม่หยุด แล้วรัฐบาลประกาศให้ 5 เป็นวันหยุดพิเศษเพิ่มขึ้นมา เลยกลายเป็นหยุดยาว 4-7 พ.ค. ก็ห่วงว่าแขกจะใช้หยุดยาวนี้ในการไปเที่ยว แล้วไม่สามารถมางานแต่งเราได้

อีกเรื่องคือวันหยุดยาวแล้วห้องโรงแรมจะเต็มไหม ถ้าแขกจะมานอนพัก ตอนแรกดูราคาหน้าเว็บไว้ค่อนข้างสูงทีเดียว คืนละ ~5,000 บาท แต่พอใกล้ๆ วัน ห้องไม่ได้แน่นขนาดนั้น ราคาหน้าเว็บก็ drop ลงมาเท่ากับราคาพิเศษที่เราได้คุยกับโรงแรมไว้

วันที่ 4 พ.ค. เราจะจัดงานปาร์ตี้ ก็ห่วงว่าจะให้เสริฟเครื่องดิ่มได้หรือเปล่า เราเช็คแล้วว่าทำได้ก็รอดไป

วันที่ 7 พ.ค. เป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า มี beer สดเหลือจากวันที่ 4 พอสมควร แต่เอามาเสริฟไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย ก็เสียดายกันไป

เรื่องจิปาถะต่างๆ ที่ค่อยๆ โผล่มาทีละนิด

ผมทำ todo list ไว้ว่าในแต่ละวันต้องทำอะไรให้เสร็จบ้าง ต้อง final เรื่องอะไร บางอย่างก็ตัดสินใจไม่ทำ ยกเลิก บางอย่างก็ทำเสร็จก่อน บางอย่างก็ delay และก็มีบางอย่างเพิ่มเข้ามา

อย่าง script brief งานเพื่อนบ่าวสาว ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำเพิ่ม และไม่ได้มีจดไว้ตั้งแต่ตอนแรก

ของที่เราจะต้องขนไปโรงแรม เราก็ต้องเตรียม checklist ให้ครบ ไม่งั้นเดี๋ยววันงานจริงตกหล่นแล้วจะมีปัญหา

checklist

บ่าวสาวไม่สบายก่อนแต่งงาน

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กังวลที่สุดเลย เริ่มจากแพรไปขัดผิวแล้วมีผื่นแพ้แดงคันขึ้นทั้งตัว ต้องวิ่งวุ่นพาไปหาหมอ

ผมเองก็ท้องเสียไป 2 วันติด หลังจากจบ party วันที่ 4 พ.ค. แต่โชคดีหายทันวันที่ 7 พ.ค.

ส่วนแพรจบ party มาก็คือเท้าเจ็บ เลือดอาบนิ้ว ต้องคอยทำแผล ห่วงจะใส่รองเท้าคัชชูไม่ได้ ทางโรงแรมก็ดูแลดีมาก ผมกับแพรเดินไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารโรงแรม ใส่ slipper ไป น้องที่หน้า front แจ้งว่าไม่อนุญาติให้ใส่ ห่วงว่าจะอันตรายเพราะพื้นลื่น เราเลยแจ้งว่าพอดีเท้าเป็นแผลต้องขอใส่อันนี้ น้องที่ front ก็แอบไปแจ้งทาง sales (คุณแนน) ว่าเจ้าสาวเท้าเจ็บ คุณแนนก็รีบโทรมาหาทันทีด้วยความเป็นห่วง และทีมงานโรงแรมทุกคนก็ช่วยดูแลแพรเป็นอย่างดี

และก็โชคดีที่ไม่มีใครไม่สบายเพิ่มอีก

จบงานแล้วเป็นไงบ้าง

สรุปค่าใช้จ่ายโดนไปทั้งหมดประมาณ 1,020,000 บาท ยังไม่รวมสินสอดที่ฝ่ายชายต้องเตรียม หักลบกลบหนี้กับซองช่วยงานก็ยังขาดทุนอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นงานแต่งที่เราทั้งคู่ happy มากๆ เราได้งานเด็กในแบบที่เราอยากได้ คนที่มางานเด็กก็ชมว่าสนุก เมากันเละเทะไปหลายคน มีแค่เรื่องอาหารที่ดูเหมือนจะน้อยไปนิดและเราเพิ่งจะรู้ทีหลัง (ไม่รู้ว่าทำไมโรงแรมทำอาหารมาไม่พอ เพราะแขกก็มาไม่ถึง 150 คน)

Flying duck

ส่วนงานผู้ใหญ่ก็เป็นพิธีการตามธรรมเนียมที่ผู้ใหญ่อยากได้ปกติ พิธีการราบรื่น อาหารโอเค งานไม่เร่งรีบ ทุกคนมีเวลาได้พูดคุยกัน พ่อแม่แพรก็ชมมาว่าจัดงานออกมาดี เราทั้งคู่ก็ดีใจ

งานนี้เป็นงานที่ผมและแพรตัดสินใจรายละเอียดต่างๆ เอง เลือกสิ่งต่างๆ เอง เราแค่รับฟัง feedback จากผู้ใหญ่แล้วเราดูว่าเราจะปรับหรือไม่ เราไม่ตามใจผู้ใหญ่ทั้งหมด เพราะว่านี่คืองานแต่งของเราทั้ง 2 คน และเงินที่ใช้จัดงานก็เป็นเงินของเราทั้งคู่ล้วนๆ ก็มีบางครั้งที่ต้องต่อรองกับผู้ใหญ่กันไปบ้าง แต่ก็ผ่านมาได้ตลอด

wedding folder

อยากจะบอกว่า การจัดงานแต่งเป็น project scale ใหญ่มากๆ project นึง ถ้าใครไม่เคยทำ project management scale ใหญ่ ไม่เคยคุย vendor เอง ไม่เคยบริหารทีมงาน ไม่เคย compare ราคา หรือเตรียมเอกสาร brief งานคนต่างๆ ผมแนะนำให้จ้าง organize ทั้งหมดดีกว่า ไม่อย่างนั้นงานอาจจะไม่ราบรื่นนัก และก็จะรู้สึกเหนื่อย ทรมานมากๆ ผมเองทำ spreadsheet เพื่อดูแลงานทุกส่วนเยอะมากๆ มีเอกสารที่ต้องดูแล ต้องส่ง แก้ไขจำนวนไม่น้อย นัดวัน + follow up action จาก supplier ตลอดเพื่อไม่ให้พลาด deadline และต้องคอย update กับผู้ใหญ่ตลอดเวลาว่างานไปถึงจุดไหนแล้ว เราทั้ง 2 คนต้องช่วยกันประสานกับทีมงานและ stakeholders ร่วม 20 กว่าคนโดยที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน ถือว่าเป็นงานยากพอสมควร

หลังจบงานแพรก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ผมเองไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงมากนัก มีแค่ต้องตื่นเช้าขึ้นมากๆ เพราะแพรต้องเข้าไปทำงานแต่เช้า ส่วนแพรก็คงจะปรับตัวเยอะหน่อย เพราะเหมือนย้ายบ้านใหม่ ก็ค่อยๆ ปรับตัวกันไป

ยังไม่มีแพลนไป honeymoon ไว้วางแผนอีกที และก็ยังไม่ได้มีแพลนจะมีน้องตอนนี้ ขอไปเที่ยว กู้คืนชีวิต lockdown ช่วง covid 2-3 ปีนี้ก่อน